วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2554

มนุษย์ผู้ครอบครอง

ข้อมูลจากหนังสือ 108-1009


ยังมีเสือหนุ่มตัวหนึ่งดุร้ายมาก วันหนึ่งมันออกไปหากินตามปกติ ขณะที่มันสอดส่ายสายตาหาเหยื่ออยู่นั้น มันก็แลเห็นช้างตัวหนึ่งกำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ มันจึงวางแผนที่จะจับช้างให้ได้ แล้วเสือก็เดินตรงไปหาช้างทันที  ฝ่ายช้างเมื่อเห็นเสือเดินตรงมาหามันเช่นนั้นครั้นจะวิ่งหนีไปก็ไม่ทัน  จึงทำใจดีสู้เสือ  แล้วพูดกับเสือไปว่า “สวัสดี  เจ้าเสือผู้ยิ่งใหญ่  เจ้าจะไปไหนหรือ”
“ข้าก็จะมาจับเจ้าไปเป็นอาหารนะสิ”  เสือตอบ
“ช้าก่อนเจ้าเสือร้าย  เจ้าคงไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ข้าไม่ได้เป็นอิสระแล้ว  ข้าเป็นเชลย    เขาอยู่”  ช้างพูด
“พุทโธ่เอ๋ย  อย่ามาหลอกข้าเสียให้ยากเลย  เจ้าตัวใหญ่ออกอย่างนี้ใครจะกล้ามาจับเจ้าเป็นเชลยได้  นอกจากข้าเจ้าป่าผู้ยิ่งใหญ่”
“นี่ไงจ้าเห็นมั๊ย  ขาของข้าถูกล่ามโซ่อยู่กับต้นไม้นี้  ก็เพราะข้าตกเป็นเชลยของมนุษย์”
ช้างพูดพร้อมยกขาที่ถูกล่ามโซ่ให้เสือดู “อะไรกันมนุษย์ตัวเล็กนิดเดียว  ยังจับเจ้าล่ามโซ่ได้หรือ”  เสือถามอย่างสงสัย
“ก็ใช่นะซิ  มนุษย์ตัวเล็กๆนี่แหละ  ถึงจะไม่มีเขี้ยวเล็บ  ไม่มีเขาหรืองา  แต่มนุษย์นั้นมีปัญญา”  ช้างตอบยืนยัน
เสือพอได้ยินช้างพูดถึงคำว่า  “ปัญญา”  ก็สนใจ  จึงถามช้างขึ้นว่า
“อ้ายตัวปัญญาของมนุษย์มันวิเศษแค่ไหนเชียว  ถ้าข้าเจอละก็จะจับกินเสียให้เข็ด”
“ปัญญาของมนุษย์ก็อยู่ที่ตัวมนุษย์ซิเจ้าเสือเอ๋ย  ถ้าเจ้าอยากเห็นจริงๆละก็  รีบแก้โซ่ที่ผูกขาข้าออกซิ  แล้วข้าจะพาเจ้าไปดู”
“ได้เลย”  เสือพูดแล้วตรงไปแก้โซ่ที่ผูกขาช้างออก  แล้วช้างก็เดินนำหน้าเสือมุ่งสู่บ้านมนุษย์ทันที
เมื่อถึงบ้านมนุษย์แล้ว  ช้างก็ตะโกนเรียกมนุษย์ให้ออกมาพบข้างนอก  ฝ่ายมนุษย์ไม่รู้ว่ามีใครมาเรียก  ก็ออกมาจากบ้านโดยที่ไม่ได้ระวังตัว
ทันใดนั้น  เสือซึ่งรอจังหวะอยู่แล้ว  จึงตะครุบตัวมนุษย์ไว้ในกรงเล็บอย่างง่ายดายมันหัวเราะเยาะด้วยเสียงอันดังที่สามารถเอาชนะมนุษย์ผู้พิชิตช้างได้  เสือจึงหันไปพูดกับช้างว่า “เจ้าช้าง  ไหนเจ้าว่ามนุษย์มีปัญญาเก่งกล้า  ยังไม่ทันได้ต่อสู้เลย  ข้าก็จับมันได้แล้วและข้าจะกินมันเสียเดี๋ยวนี้แหละ”
มนุษย์เมื่อได้ยินเสือพูดอวดตัวเช่นนั้น  ก็ใช้ปัญญาของตนต่อสู้กับเสือทันที  โดยพูดกับเสือว่า
“ช้าก่อนเจ้าเสือ  ถ้าเจ้ากินข้าตอนนี้  เจ้าก็จะไม่มีโอกาสเห็นตัวปัญญาของข้าเลย”
เสือได้ยินดังนั้นก็หยุดชะงัด  แล้วถามมนุษย์ไปว่า “ไหนละตัวปัญญาของเจ้า  ก่อนตายเอาออกมาอวดข้าหน่อยเป็นไง”
“ได้ซิ  ถ้าเจ้าอยากดู  แต่ตัวปัญญาของข้าอยู่ในบ้าน  ถ้าอยากเห็น  เจ้าต้องปล่อยข้าไป  ข้าจะได้ไปจูงมันออกมาให้เจ้าดู
ฝ่ายเสืออยากเห็นตัวปัญญาเป็นหนักหนา  จึงหลงกลปล่อยมนุษย์ไป มนุษย์เมื่อถูกปล่อยตัวเป็นอิสระแล้ว  ก็วางแผนจัดการกับเสือ  โดยพูดขู่เสือไปว่า
“ระวังนะเจ้าเสือ  ตัวปัญญาของข้ามันตกใจง่าย  ถ้ามันเห็นเจ้าเข้า  มันจะวิ่งหนีเข้าบ้าน  แล้วจะไม่ยอมออกมาอีกเป็นเด็ดขาด”
“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร”  เสือถาม
“ไม่ยาก  เจ้ามาให้ข้าจับมัดไว้กับต้นไม้เสียก็สิ้นเรื่อง”  มนุษย์เสนอความคิด    “ตกลง  เสือตอบ
มนุษย์ก็จัดการมัดเสือไว้กับต้นไม้  แล้วก็เดินเข้าบ้านไป  และออกมาพร้อมกับหวายในมือ เสือเห็นมนุษย์ถือหวายออกมาก็แปลกใจ  จึงถามว่า
“ไหนละตัวปัญญาของเจ้า  ไม่เห็นจูงออกมาให้ข้าดู”   มนุษย์ชูหวายขึ้นแล้วพูดว่า  “นี่ไงละตัวปัญญาของข้า”
“อ้ายนั่นมันหวาย  จะเป็นตัวปัญญาได้อย่างไร”  เสือแย้ง
“นี่แหละตัวปัญญาของข้าอ้ายเสือหน้าโง่  เจ้ามันอวดเก่งนัก  ข้าจะสั่งสอนให้รู้สำนึกเสียบ้าง
พอมนุษย์พูดขาดคำ  ก็หวดเสือด้วยหวายอย่างมันมือ  จนนับครั้งไม่ถ้วน ฝ่ายช้างที่ยืนอยู่ใกล้ๆได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด  ก็หัวเราะด้วยความชอบใจ
เพราะด้วยปัญญาของมนุษย์  มนุษย์ไม่เพียงรอดชีวิต  มันเองก็รอดชีวิตด้วย  ช้างหัวเราะใหญ่  หัวเราะเสียจนน้ำตาไหลพรากอาบแก้ม  ดวงตาของช้างเลยเล็กลง  เล็กลงเหลือเท่าที่เห็นจนทุกวันนี้  ซึ่งไม่สมกับตัวของมันเลย  ก็เพราะหัวเราะมากนั่นเอง
ฝ่ายเสือเมื่อถูกโบยด้วยหวาย  ก็เจ็บปวดแสนสาหัส  ดิ้นทุรนทุรายไปมาจนเชือกขาด  มันจึงวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต  จนถึงบัดนี้เสือก็ยังไม่รู้ว่า  ปัญญาของมนุษย์คืออะไร   เสือเดินโซซัดโซเซไปขอความช่วยจากสัตว์ในป่าให้ช่วยรักษารอยแผลจากการถูกโบยด้วยหวาย  แต่ไม่มีสัตว์ใดช่วยเหลือ  มีแต่สมน้ำหน้า  เพราะเสือรังแกสัตว์อื่นไว้มากนั่นเอง  ตัวของเสือจึงมีแผลเป็น  และกลายเป็นลายให้เห็นมาจนทุกวันนี้


- ข้อพระคัมภีร์  ปฐมกาล 1: 28


พระเจ้าได้ทรงอวยพรพวกเขา และพระเจ้าตรัสแก่พวกเขาว่า "จงมีลูกดกและทวีมากขึ้น จนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดินนั้น และครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และบรรดาสัตว์ที่มีชีวิตที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดินโลก"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น