วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

คอรัปชั่นใกล้หรือไกลจากคุณ

ข้อมูลจากหนังสือ 108-1009
นิตยสารเพื่อนผู้นำ(ตุลาคม-พฤศจิกายน 2000) กล่าวถึงปัญหาเรื่องการทุจริตจากการจัดอันดับ 99 ประเทศในโลก ปี 1999 ประเทศที่มีคอรัปชั่นน้อยที่สุดในโลกคือ ประเทศเดนมาร์ค(1) รองลงมาคือ ฟินแลนด์(2) นิวซีแลนด์(3) สวีเดน(4) แคนาดา (5) ไอซ์แลนด์(6) ส่วนประเทศไทยถือว่า เป็นประเทศที่มีคอรัปชั่นมากที่สุดประเทศหนึ่ง ดังนั้นเราจึงหวังว่าอนาคตประเทศไทยจะมีคอรัปชั่นน้อยลง แต่สิ่งนี้จะเป็นไปได้เมื่อคนไทยทุกคนร่วมมือกันไม่คอรัปชั่นตั้งแต่สิ่งเล็กน้อยไปจึงถึงสิ่งใหญ่ ตั้งแต่งานเล็ก ๆ  จนถึงงานระดับประเทศ

- ข้อคิด ความไม่ซื่อสัตย์เป็นบ่อเกิดของปัญหามากมายเหมือนกับคำสุภาษิตที่บอกว่า“ซื่อกินไม่หมด  คดกินไม่นาน ดังนั้น ในฐานะที่เราเป็นคริสตชน เราต้องหลีกเลี่ยงจากสิ่งเหล่านี้ และอธิษฐานเพื่อประเทศไทย ให้พ้นเรื่องมัวหมองจากการคอรัปชั่น
- ข้อพระคัมภีร์  มัทธิว 5:13-15  โรม 2:19-20
"ท่านทั้งหลายเป็นเกลือดองแผ่นดิน ถ้าเกลือจืดไปแล้ว จะเอาอะไรมาทำให้เค็มอีกเล่า เกลือนั้นย่อมไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากจะถูกทอดทิ้งให้คนเหยียบย่ำ 'ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างส่องโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะไม่ถูกปิดบัง ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วเอามาวางไว้ใต้ถัง แต่ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน"

พระเยซูฟื้นแล้ว

ข้อมูลจากหนังสือ 108-1009
เด็กชายคนหนึ่งชื่อ ทอม เขาเป็นคนเดื้อ ไม่ค่อยเชื่อฟังครู วันหนึ่งครูได้แจกไข่ให้พวกเขาคนละฟองและบอกพวกเขาว่า สัปดาห์หน้าให้พวกเขาเอาไข่กลับมาอีกครั้งหนึ่ง โดยที่หาอะไรมาใส่ไว้ในเปลือกไข่เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของวันอีสเตอร์
สัปดาห์ต่อมาซึ่งเป็นวันอิสเตอร์ ในเช้าวันอาทิตย์วันนั้นนักเรียนทุกคนนำเปลือกไข่ของตนเองมา โดยที่ทุกคนมาวางไว้หน้าชั้น ครูก็หยิบของแต่ละคนขึ้นมาเปิดดู เมื่อเปิดไข่ฟองแรก ครูก็เห็นต้นไม้ต้นเล็ก ๆ อยู่ในไข่ ครูอธิบายว่า นี่แหละคือความหมายของวันอิสเตอร์ เพราะต้นไม้แสดงถึงการมีชีวิต ต่อมาก็เปิดอีกใบหนึ่ง แล้วทันใดนั้นผีเสื้อตัวหนึ่งก็บินออกมา ครูก็ดูไข่แต่ละฟองไปเรื่อย เขาหยิบไข่ฟองหนึ่งขึ้นมาแล้วเปิดดู แต่เขาก็ไม่เห็นอะไรในไข่ใบนั้น ดังนั้นครูจึงคิดว่าไข่ฟองนี้ต้องเป็นของทอมแน่ ๆ จึงถามทอมว่า ทอม ไข่ใบนี้ของทอมใช่ไหม ทอมตอบว่า ใช่ แล้วครูจึงถามต่อว่า ทำไมทอมถึงเอาไข่เปล่า ๆ มา โดยที่ข้างในไม่มีอะไร ทอมตอบว่า ครูครับในเช้าวันอาทิตย์วันที่พระเยซูคืนพระชนม์นั้นในอุโมงค์ของพระเยซูมีอะไรอยู่หรือเปล่าครับ
- ข้อคิด ในวันที่พระเยซูทรงฟื้นคืนพระชนม์ในอุโมงค์ของพระเยซูไม่มีอะไร เพราะพระเยซูทรงฟื้นขึ้นจากความตายแล้ว และพระเยซูยังทรงพระชนม์อยู่จนถึงทุกวันนี้
- ข้อพระคัมภีร์   ยอห์น 20:1-9

"เช้าตรู่วันต้นสัปดาห์  ขณะที่ยังมืดอยู่ มารีย์ชาวมักดาลาออกไปที่พระคูหา    ก็เห็นหินถูกเคลื่อนออกไปจากพระคูหา แล้วนางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรกับศิษย์อีกคนหนึ่งที่พระเยซูเจ้าทรงรักกล่าวว่า "เขาได้นำองค์พระผู้เป็นเจ้าไปจากพระคูหา แล้ว พวกเราไม่รู้ว่าเขานำพระองค์ไปไว้ที่ไหน" เปโตรกับศิษย์คนนั้นจึงออกไป มุ่งไปยังพระคูหา ทั้งสองคนวิ่งไปด้วยกัน แต่ศิษย์คนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตร จึงมาถึงพระคูหาก่อน เขาก้มลงมองเห็นผ้าพันพระศพวางอยู่บนพื้น แต่ไม่ได้เข้าไปข้างใน ซีโมน เปโตรซึ่งตามไปติดๆก็มาถึง เข้าไปในพระคูหาและเห็นผ้าพันพระศพวางอยู่ที่พื้น รวมทั้งผ้าพันพระเศียรซึ่งไม่ได้วางอยู่กับผ้าพันพระศพ แต่พับแยกวางไว้อีกที่หนึ่ง แล้วศิษย์คนที่มาถึงพระคูหาก่อนก็เข้าไปข้างในด้วย เขาได้เห็นและมีความเชื่อ เพราะเขาทั้งหลายยังไม่เข้าใจพระคัมภีร์ที่ว่า พระองค์ต้องทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย หลังจากนั้น ศิษย์ทั้งสองก็กลับไปบ้าน"

ทำเพื่อพระเจ้า

ข้อมูลจากหนังสือ 108-1009

ประธานาธิบดี วิลเลียม อี.แกรนสโตน ได้ถวายชีวิตของท่านเพื่อพระเจ้า ในกิจการงานที่ทำนั้น ท่านให้พระเจ้านำหน้าเสมอ ครั้งหนึ่งท่านจะต้องกล่าวสุนทรพจน์ต่อที่สาธารณะ แต่ในคืนก่อนที่ท่านต้องกล่าว ขณะที่กำลังเตรียมกล่าวสุนทรพจน์ ซึ่งเป็นเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงเคาะประตูบ้านของท่าน เมื่อท่านเปิดประตูก็พบเห็นผู้หญิงวัยชรายืนอยู่หน้าห้อง หญิงชรากล่าวว่า ลูกชายของฉันซึ่งเป็นคนพิการตอนนี้เขากำลังป่วยหนัก ขอให้ท่านมากับดิฉันและให้กำใจเขา แกรนสโตนลุกขึ้นตามหญิงชราคนนั้นไปทันที เมื่อไปถึงบ้านของหญิงชรา ท่านจึงเข้าไปหาลูกชายของเธอ ท่านจับมือเด็กชายคนนั้น อ่านพระคัมภีร์และอธิษฐานเพื่อเขา ท่านได้นำเด็กชายคนนี้ไปพบพระเยซู เด็กชายสิ้นลมหายใจอ้อมแขนของแกรนสโตน  ท่านได้ปลอบใจมารดาของเขาและกลับบ้าน
ในวันรุ่งขึ้น แกรนสโตนได้ไปกล่าวสุนทรพจน์ ถึงแม้ว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาท่านไม่ได้นอนหรือไม่ได้เตรียมคำพูดมาก็ตาม แต่ท่านมีสันติสุขที่ท่านได้นำเด็กชายคนหนึ่งไปถึงพระเยซูคริสต์ ดังนั้นสันติสุขจากพระเจ้าได้แสดงออกมาผ่านใบหน้าของท่าน ขณะที่ท่านพูดและถ้อยคำที่ดี ๆ ได้ออกมาในการพูดของท่าน  โดยที่ท่านไม่รู้ว่าคำพูดเหล่านั้นมาจากที่ไน หลังจากที่ท่านกล่าวสุนทรพจน์ ทุกคนต่างก็ชมว่าพูดดีและทุกคนลุกขึ้นปรบมือให้ท่าน
' ข้อคิด เมื่อเราทำเพื่อพระเจ้าก่อน พระองค์อวยพรชีวิตของเรา โดยที่เราคาดไม่ถึงและไม่เข้าใจ พระเจ้าอวยพรทุกคนที่ทำเพื่อพระเจ้าก่อนเสมอ
U ข้อพระคัมภีร์ 1 พงศ์กษัตริย์ 17:13  มัทธิว 6:33
"จงแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มทุกสิ่งเหล่านี้ให้"

มนุษย์แมงมุม

ข้อมูลจากหนังสือ 108-1009              
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงและเชื่อมั่นในตนเองคนหนึ่ง เที่ยวป่าวประกาศทั่วเมืองว่า ตนเองเป็นมนุษย์แมงมุม สามารถปีนตึก 10 ชั้น โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยใช้เพียงมือเปล่าก็ทำได้แล้ว เขาได้กำหนดวัน เวลา สถานที่ ที่เขาจะแสดงความสามารถ เมื่อถึงเวลาที่เขานัดหมาย มีคนมากมายมาดูชายหนุ่มคนนี้ปีนตึก 10 ชั้น โดยใช้มือเปล่าทุกคนมองชายหนุ่มผู้ที่หยิ่งจองหองคนนี้ด้วยความตื่นเต้น เขาปีนขึ้นไปทีละชั้นจนเกือบถึงจุดหมายปลายทางของเขาแล้ว ชายหนุ่มคนนี้ชำเลืองไปเห็นจุดดำ ๆ เป็นเหมือนกับรอยต่อของอะไรบางอย่าง เขาคิดในใจว่าเขาจะจับที่นั่น แล้วก็เขาก็จะถึงจุดหมายแล้ว
ทันใดนั้นเขาเอื้อมมือไปจับจุดดำ ๆ ที่เขาเหลือบไปเห็น วินาทีนั้นเองเขาก็ตกลงมาตายคาที่ ผู้คนต่างก็ไปดูในมือของเขาว่ามีอะไร ปรากฏว่าในมือของเขานั้นมีหยากไย่ซึ่งก่อตัวกันมานานแล้ว เขาฉวยสิ่งที่เลื่อนลอยและไม่มั่นคง จึงตกลงมาตาย
- ข้อคิด การอวดในความสามารถของตัวเอง การอวดในความรู้ของตนเอง หรือการโอ้อวดในความมั่งคั่งของตนเองแล้ว ความเย่อหยิ่งจองหองสามารถนำเราถึงความพินาศได้ แทนที่เราจะโอ้อวด ให้เราถ่อมใจต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า ถวายเกียรติแด่พระเจ้า พระองค์เท่านั้นเป็นผู้ยกเราขึ้น
ข้อพระคัมภีร์  มัทธิว  23:12  เธสะโลนิกา  2:4  วิวรณ์  2:20
 
"ผู้ใดที่ยกตนขึ้น จะถูกกดให้ต่ำลง ผู้ใดถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น"

อัศจรรย์พระผู้สร้าง

ข้อมูลจากหนังสือ 108-1009
               ตั้งแต่เกิดจนตาย ร่างกายของมนุษย์เราไม่เคยหยุดทำงานแม้วินาทีเดียว ร่างกายของมนุษย์เรานั้นมีหน่วยชีวิต(เซลล์) มากกว่า 50,000 ล้านเซลล์ และทุก ๆ วินาทีมีเซลล์ตายลงนับล้านและเกิดใหม่แทนที่นับล้านเซลล์เช่นกัน
               ร่างกายมนุษย์เรามีกล้ามเนื้อประมาณ 650 มัด มีกระดูกประกอบกันเป็นโครงร่างที่แข็งแรงถึง 206 ชิ้น หัวใจเต้นนาทีละ 60-70 ครั้ง หรือประมาณวันละ 100,000 ครั้ง หากเรามีอายุยืนยาวถึง 70 ปี แสดงว่าหัวใจของเราทำงานต่อเนี่องโดยเต้นถึง 2,575,000,000 ครั้ง หรือทุกนาทีหัวใจคนเราปั้มโลหิตประมาณ 4-5 ลิตร หนึ่งวัน 7,200 ลิตร หนึ่งปี 2,628,000 ลิตร ถ้าคนเรามีอายุ 70 ปี หัวใจปั้มเลือดถึง 183,960,000 ลิตร เหมือนเครื่องปั้มน้ำสูบน้ำเก็บไว้เหนือเขื่อนขนาดย่อม อัศจรรย์พระผู้สร้างจริง ๆ
- ข้อคิด   เมื่อมองดูร่างกายของมนุษย์อย่างนี้แล้ว   จะว่ามนุษย์เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติได้อย่างไร
- ข้อพระคัมภีร์  ปฐมกาล  1:26-27
"แล้วพระเจ้าตรัสว่า "ให้เราสร้างมนุษย์ ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆ ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน" พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง"

เริ่มต้นที่พระเยซูก่อน

ข้อมูลจากหนังสือ 108-1009
               ลีโอนาโด ดาวินซี จิตรกรและประติมากรชาวอิตาลี(ค.ศ. 1452-1519) ผู้ได้รับฉายานามว่าเป็น  ผู้รอบรู้จักรวาล (Universa Man) เขายังเป็นผู้รอบรู้ในเรื่องกายวิภาคศาสตร์ สถาปัตยกรรม ดาราศาสตร์ พฤกษศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ด้วย ในปี 1497 ดาวินซี วาดภาพอาหารเย็นมื้อสุดท้ายของพระเยซู (The last supper) มีเรื่องเล่าว่า เขาพยายามวาดภาพนี้อยู่นาน ไม่สำเร็จ ล้มเหลวหลายครั้ง เพราะดาวินซีเริ่มวาดภาพนี้โดยเขาเริ่มจาก ยูดาส อิสคาริโอด สาวกผู้ทรยศต่อพระเยซูคริสต์ และเขาไม่สามารถวาดต่อไปหรือให้ผลงานการวาดสำเร็จลงได้ ในที่สุดเขาตั้งต้นใหม่โดยเริ่มจากการวาดภาพพระเยซูคริสต์ และผลงานภาพวาด อาหารมื้อสุดท้าย ก็สำเร็จลงเป็นภาพอมตะถึงทุกวันนี้
'    ข้อคิด   บางครั้งความยุ่งยากมาจากเราเองที่มิได้ระมัดระวัง  และให้เกียรติพระเจ้า
U  ข้อพระคัมภีร์  มัทธิว 6:33
"จงแสวงหาพระ-อาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มทุกสิ่งเหล่านี้ให้"

รอยเท้าบนผืนทราย

ข้อมูลจากหนังสือ 108-1009
ชายคนหนึ่งฝันไปว่า เขาได้เดินไปชนชายหาดอันสวยงามกับพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงสนทนากับเขาด้วยความรักห่วงใย และมิตรไมตรี แม้ในเวลาแห่งความทุกข์ยาก เขารู้สึกยินดีเมื่อเหลียวมองกลับไปเห็นรอยเท้าบนทรายสองคู่เคียงกัน นั่นคือรอยเท้าของเขาและรอยเท้าขององค์พระผู้เป็นเจ้า
แต่แล้วเขาก็แปลกใจ เมื่อเห็นรอยเท้าเพียงคู่เดียวที่เหลืออยู่บนดินทราย เขาเริ่มต่อว่า ทำไมพระเจ้าทอดทิ้งเขาไปแล้ว หรือปล่อยให้เขาเดินอยู่เพยงลำพัง ไหนพระองค์สัญญาว่าจะอยู่ด้วย อยู่เคียงข้างทั้งในวาระแห่งความยากลำบาก
ทันใดนั้นมีเสียงเบา ๆ มาที่ข้างหูของเขาและตรัสว่า ลูกเอ๋ย เราสัญญากับเจ้าว่าจะอยู่กับเจ้าว่าจะอยู่กับเจ้าตลอดไปนั้นยังเป็นความจริง เราอยู่กับเจ้าเสมอ เราไม่เคยทอดทิ้งเจ้าเลย เปิดตาของเจ้าให้กว้างและพิเคราะห์ดูรอยเท้าที่เจ้าเห็นนั้นไม่ใช่ของเจ้า แต่เป็นของเรา องค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังอุ้มเจ้าอยู่
           
'    ข้อคิด  พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเรา แม้แต่วินาทีเดียว พระองค์สัญญาว่าจะอยู่กับเราตลอดไปเป็นนิตย์  เราต่างหากหลายครั้งมักห่างไกลและทิ้งพระเจ้า
U  ข้อพระคัมภีร์  โยชูวา 1:5   มัทธิว 28:20  ยอห์น 14:18-19
"เราจะไม่ละทิ้งท่านทั้งหลายให้เป็นกำพร้าเราจะกลับมาหาท่าน ในไม่ช้า โลกจะไม่เห็นเราอีกแต่ท่านทั้งหลายจะเห็นเรา เพราะเรามีชีวิตและท่านก็จะมีชีวิตด้วย"

พระเยซูฝากมาคืน

ข้อมูลจากหนังสือ 108-1009
นายทหารคริสเตียนคนหนึ่ง ขณะควบม้ากลับจากสนามรบ และเดินทางกลับบ้านในฤดูหนาว เขาพบชายคนหนึ่งนั่งหนาวสั่นอยู่ข้างทาง เขาเห็นแล้วแต่ไม่ได้ใส่ใจ จึงควบม้าเลยผ่านไป แต่ในใจนึกสงสารจึงได้ถอยกลับมา  แล้วฉีกเสื้อคลุมของตนส่วนหนึ่งส่งให้แก่ชายผู้นั้นแล้วจากไป
คืนนั้นเองมีทูตสวรรค์มาปรากฏแก่เขา และมอบของชิ้นหนึ่งให้ โดยกล่าวว่า พระเยซูคริสต์ทรงฝากเสื้อคลุมส่วนนี้มาคืนให้แก่ท่านและตรัสฝากมาว่า โอ  ถ้าข้ารู้ว่าชายคนนั้นคือพระเยซู ข้าคงจะมอบเสื้อคลุมทั้งตัวของข้าให้พระองค์และจะรับพระองค์ขึ้นหลังม้าด้วย    
              

'    ข้อคิด พระเยซูตรัสว่า  แม้เมื่อเรากระทำแก่ผู้เล็กน้อยคนหนึ่ง  ในนามของพระองค์ก็เหมือนกระทำต่อพระองค์ด้วย
U  ข้อพระคัมภีร์  มัทธิว 25:36-40  
"เราไม่มีเสื้อผ้า ท่านก็ให้เสื้อผ้าแก่เรา เราเจ็บป่วย ท่านก็มาเยี่ยม เราอยู่ในคุก ท่านก็มาพบ" บรรดาผู้ชอบธรรมจะทูลถามว่า "พระเจ้าข้า เมื่อไรเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายได้เห็นพระองค์ทรงหิว แล้วได้ถวายพระ-กระยาหาร หรือทรงกระหาย แล้วได้ถวายให้ทรงดื่ม?
เมื่อไรเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายได้เห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้า แล้วได้ต้อนรับ หรือทรงไม่มีเสื้อผ้า แล้วได้ถวายให้?
เมื่อไรเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงประชวรหรือทรงอยู่ในคุกแล้วได้ไปเยี่ยม?"
พระมหากษัตริย์จะตรัสตอบว่า"เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเรา คนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา"

ยืนหยัดในความเชื่อ

ข้อมูลจากหนังสือ 108-1009

ดร.บิลลี่  คิม  จากประเทศเกาหลี  มาเทศนาในงานประชุมคองเกรสที่โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัยสองครั้งสองครา  ท่านเล่าเรื่องปิดท้ายเชิญชวนผู้คนตอบสนองที่จะยืนหยัดเพื่อพระคริสต์ ท่านเล่าว่า  ระหว่างการรุกรานของทหารญี่ปุ่นต่อชนชาวเกาหลี  ทหารญี่ปุ่นได้บังคับให้คริสเตียนเกาหลี  กราบไหว้พระชินโตของญี่ปุ่นกับรูปวาดพระเยซูวางไว้ให้คริสเตียนเลือกว่าจะนมัสการหรือจะปฏิเสธโดยพวกทหารถือปืนคุมอยู่  ถ้าหากปฏิเสธพระเยซูก็ให้ถ่มน้ำลายรดบนรูป  และจะไว้ชีวิต
บรรดาผู้ปกครอง ที่เคยประกาศตัวว่า  รักพระเจ้า  ถ่มน้ำลายรดลงบนภาพวาดนั้น  แต่มีเด็กหญิงตัวเล็กๆ  คนหนึ่ง  ถูกบังคับให้เข้าแถวที่จะต้องแสดงความกล้าด้วยว่าจะเชื่อหรือปฏิเสธพระเยซู  เธอเห็นหลายคนถ่มน้ำลายบนภาพ  แต่เธอทำตรงกันข้าม  เธอก้มลงหยิบภาพที่เปื้อนน้ำลาย  ใช้ชายเสื้อเช็ดน้ำลาย  เธอกอดภาพนั้นกล่าวว่า พระเยซู  แม้คนอื่นจะปฏิเสธพระองค์  แต่หนูรักพระองค์   ทุกคนจ้องมองที่เด็กน้อยผู้กล้ายืนหยัดต่อความเชื่อของตนก็รู้สึกระอายใจ  แต่สายเสียแล้ว  ทหารญี่ปุ่นหันปากกระบอกปืนไปที่กลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า ผู้ปกครองคริสตจักรกราดยิงพวกเขาพร้อมกล่าวว่า ขนาดพระเยซูที่พวกเขาบอกว่ารัก  เขายังกล้าปฏิเสธ  เขาจะไม่ปฏิเสธพระชินโตของเราหรือ

- ข้อคิด   ถ้าคุณต้องเผชิญการกดขี่ข่มเหง  และต้องพิสูจน์ความเชื่อ  คุณจะยืนหยัดหรือไม่
- ข้อพระคัมภีร์  ลูกา  12:8-9  และเราบอกท่านทั้งหลายว่าทุกคนที่รับเราต่อหน้ามนุษย์  บุตรมนุษย์จะรับคนนั้นต่อหน้า    บรรดาฑูตสวรรค์ของพระเจ้า  แต่คนที่ปฏิเสธเราต่อหน้ามนุษย์คนนั้นจะถูกปฏิเสธต่อหน้าฑูตสวรรค์ของพระเจ้า