วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554

จงเขียนระบายลงบนพื้นทราย

ข้อมูลจากหนังสือ 108-1009


บทความนี้เป็นบทปรัชญาที่มีคุณค่าต่อทุก ๆ คน เป็นเรื่องราวที่กล่าวถึงเพื่อนสองคนที่เดินทางอยู่กลางทะเลทราย  ช่วงสำคัญของการเดินทางทั้งสองเกิดข้อโต้แย้งกัน หนึ่งในสองคนนั้นได้ตบหน้าอีกฝ่ายหนึ่ง ชายผู้ที่ถูกตบหน้าเกิดความเจ็บปวดทั้งกายใจ แต่เขาไม่ได้กล่าวคำพูดใด ๆ เลยเพียงแต่เขียนระบายไว้บนพื้นทรายว่า “วันนี้ ผมโดนเพื่อนรักของผมตบหน้า” แล้วเขาทั้งสองก็เดินทางต่อไปจนกระทั่งพบสถานที่พักพิง โอเอซิสกลางทะเลทราย ทั้งสองตกลงจะอาบน้ำชำระร่างกาย ชายผู้ที่ถูกเพื่อนตบหน้าเกิดเหตุจมน้ำ และชายผู้ตบหน้าเขาก็เป็นผู้ช่วยชีวิตเขาไว้ เมื่อเขาผ่านพ้นช่วงนาทีวิกฤตนั้น  เขาได้เขียนระบายไว้บนก้อนหินว่า “วันนี้ เพื่อนรักของผมได้ช่วยชีวิตผมไว้” ชายผู้ที่ตบหน้าเพื่อนและช่วยชีวิตเพื่อนจึงเอ่ยถาม “ทำไม เมื่อตอนที่ผมทำร้ายคุณ คุณเขียนระบายลงบนพื้นทราย แล้วตอนที่ผมช่วยเหลือคุณ คุณกลับเขียนระบายบนก้อนหิน” ชายผู้นั้นตอบด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อเพื่อนทำร้ายเรา  เราควรระบายความเจ็บปวดนั้นลงบนพื้นทราย ซึ่งเป็น “การให้อภัย” ที่จะค่อย ๆ ลบเลือนความเจ็บปวดนั้นให้สูญสิ้นไป แต่เมื่อมีสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต เราควรจะ “จารึก สิ่งเหล่านั้นไว้บนแผ่นหินของหัวใจ ที่ซึ่งไม่มีวันจะลบเลือน

เพื่อนสนิทใกล้ชิดเป็นเสมือนลิ้นกับฟัน อาจมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของผู้อื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ มีความหวังอยู่เสมอและทนต่อทุกอย่าง (1คร.13:7) จงลืมในสิ่งที่ควรลืมด้วยการให้อภัยและจงจำในสิ่งที่ควรจำด้วยความประทับใจตลอดไป  แล้วชีวิตจะสดใส

- ข้อพระคัมภีร์  1 คร. 13:7


"(ความรัก)ไม่แคะไค้คุ้ยเขี่ยความผิดของเขา และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และเพียรทนเอาทุกอย่าง"

เปลี่ยนความทุกข์ยากเป็นชัยชนะ

ข้อมูลจากหนังสือ 108-1009


คำของยากอบที่ว่า เมื่อท่านทั้งหลายประสบความทุกข์ยากลำบากต่างๆก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี นั่นเป็นกุญแจสำคัญที่จะเปลี่ยนความทุกข์ยากให้เป็นชัยชนะ แม้เราไม่อาจเลือกที่จะเผชิญความทุกข์ยากแต่เราเลือกวิธีที่จะตอบสนองได้ เจ.บี.ฟีลิป ได้พูดทำนองเดียวกันว่า “อย่ารู้สึกว่าความทุกข์ยากบุกรุกเรา แต่จงต้อนรับมันฉันมิตร”
เซลวีน ฮิวส์ ผู้ให้คำปรึกษาชาวอังกฤษ ได้เตือนผู้คนว่า ความทุกข์ยากจะเป็นมิตรของเราได้ก็ต่อเมื่อเราตั้งเป้าที่จะเป็นเหมือนพระเยซู หากเป้าหมายของเรา คือ การหลีกเลี่ยงปัญหา หรือความโชคร้ายต่าง ๆ ความทุกข์ยากของเราก็จะเป็นเหมือนผู้บุกรุก
ฮิวส์ยอมรับว่า เขาเองก็ต้องฟังคำปรึกษาของตัวเองอยู่บ่อย ๆ เขายังจำเหตุการณ์ครั้งที่ตัวเองและภรรยาขับรถเข้าจอดข้างทางเพื่อดูแผนที่ แล้วจู่ ๆ รถบรรทุกคันหนึ่งก็หักหลบมาชนรถเขาอย่างจัง พวกเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่รถพังยับเยิน แล้วฝนก็เริ่มตก ฮิวส์ปะทะคารมกับอีกฝ่ายด้วยความโกรธ หงุดหงิดและกังวลใจ ฮิวส์พบว่าเรื่องนี้ยากมากที่จะ “ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี” แต่ขณะที่รอตำรวจอยู่นั้น เขาก็เริ่มครุ่นคิดว่า พระเจ้าจะทรงใช้ความลำบากที่เกิดขึ้นเพื่อให้เขาเป็นเหมือนพระเยซูได้อย่างไร แล้ววิกฤตการณ์ก็ค่อยกลับแปรเปลี่ยนมาเป็นมิตรกับเขา

ครั้งต่อไปที่คุณเผชิญความทุกข์ยากบางอย่าง จงเป็นมิตรกับมันและยอมให้พระเจ้าทรงใช้สถานการณ์นั้น เพื่อให้คุณเป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้น พระบิดาผู้เปี่ยมด้วยความรัก ทรงรู้จักวิธีการเปลี่ยนแปลงเรา  ความจริงของพระเจ้าที่เราสามารถนำไปเป็นพยานในชีวิตของเราได้

- ข้อพระคัมภีร์    ยากอบ  1 : 2


"พี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายตกอยู่ในการทดลองต่าง ๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี"

บทเพลงแห่งความหวัง

ข้อมูลจากหนังสือ 108-1009


ข่าวในคอลัมน์บันเทิงของหนังสือพิมพ์มติชนรายวันฉบับวันที่ 25 ก.ย. 2001 กล่าวว่าบทเพลงเพียงเพลงเดียวที่มีความยาวเพียงไม่กี่นาที แต่กลับมีพลังเหลือหลาย โดยเฉพาะในยามที่ชีวิตไม่ปกติสุข มีหลายคนพบว่าแค่ “บทเพลง” เพลงเดียว ก็สามารถทำให้หัวใจที่กำลังห่อเหี่ยวกลับฮึกเหิมพองโตคับอก และสามารถจุดประกายความหวังความฝันได้อย่างน่าอัศจรรย์
ในช่วงที่ชาวอเมริกันกำลังเผชิญกับเรื่องโศกสลดครั้งยิ่งใหญ่จากเหตุวินาศกรรมตึกเวิลด์เทรดฯ ที่นิวยอร์ค เมื่อวันอังคารที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา บทเพลงที่มีเนื้อหาปลุกใจให้รักชาติหรือสร้างความรู้สึกสามัคคีกลมเกลียวก็กลายเป็นยาสมานแผลขนานหนึ่งที่อเมริกันชนกำลังวิ่งหามารักษาเยียวยาอารมณ์  ความรู้สึกที่กำลังดำดิ่งสู่เบื้องลึก ทำให้บทเพลงดังกล่าวขายดิบขายดีเป็นการใหญ่ บทเพลงเก่าอย่าง “God  bless  The U.S.A. ที่ตกอันดับไปกว่า 10 ปีแล้วกลายเป็นเพลงฮิตติดอันดับภายในเวลาชั่วพริบตา ทำให้คนทั้งประเทศมีความหวังและกำลังใจขึ้นอีกครั้ง 

บางครั้งจิตวิญญาณของเราก็ได้จมดิ่งลงสู่เบื้องลึกด้วยเช่นกัน บทเพลงสรรเสริญพระเจ้าเป็นยาสมานแผลขนานเอกที่จะทำให้เราหวนระลึกความรักมั่นคงของพระองค์ที่ได้ทรงไถ่เราให้ออกจากความมืดและความตายและปลอบประโลมจิตใจของเราให้มีความหวัง

- ข้อพระคัมภีร์    อิสยาห์  51 : 17


"โอ เยรูซาเล็มเอ๋ย จงปลุกตัวเอง จงปลุกตัวเอง จงยืนขึ้นเถิด เจ้าผู้ได้ดื่มจากพระหัตถ์ของพระเจ้า ซึ่งถ้วยแห่งพระพิโรธของพระองค์ ผู้ได้ดื่มถึงตะกอน ซึ่งถ้วยแห่งความโซเซและดูดมันออก"

พร้อมที่จะช่วยเหลือเสมอ

ข้อมูลจากหนังสือ 108-1009


สมาชิกสตรีในโบสถ์แห่งหนึ่งชื่อ อลิซ ซึ่งได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นมะเร็ง เธอรู้สึกท้อแท้ใจมาก แม้ว่าเพื่อน ๆ พี่น้องชายหญิงจะกล่าวถ้อยคำให้กำลังใจประการใดก็ไม่ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น
วันหนึ่งเมื่อใกล้เวลาจะเริ่มพิธีในโบสถ์ ขณะที่อลิซนั่งอยู่ เด็กชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเดินมาตามทางเดิน  และไม่มีใครทราบว่าทำไมเด็กชายได้หยุดลงตรงม้านั่งแถวที่อลิซนั่งอยู่ เขาปีนขึ้นไปนั่งและซุกอยู่ข้าง ๆ เธอโดยไม่พูดอะไรเลย ทั้งคู่นั่งด้วยกันสักครู่หนึ่ง อลิซได้เอาแขนโอบตัวเด็กชายไว้แล้วเขาก็ปีนลงจากเก้าอี้เดินกลับไปหาแม่ อลิซกล่าวในภายหลังว่าเธอไม่เคยรู้สึกว่าได้ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากมาย อย่างนั้นมาก่อน ในช่วงเวลาเพียงสั้น ๆ นั่นเองที่ทำให้เธอไม่กลัวอีกต่อไป

บางครั้งเราอาจพบเจอคนที่มีความทุกข์และต้องการการช่วยเหลือโดยไม่ได้ตั้งใจ เวลานั้นเราจะตอบสนองต่อคนเหล่านั้นอย่างไร?

- ข้อพระคัมภีร์    โรม  12 : 13


"จงช่วยผู้บริสุทธิ์เมื่อเขาขัดสน จงมีน้ำใจอัธยาศัยไมตรี"

วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2554

โรนัล เรแกน

ข้อมูลจากหนังสือ 108-1009


จากอดีตพระเอกหนังต้นทุนต่ำของฮอลลีวูด โรนัล เรแกน ก้าวสู่ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียและสู่ทำเนียบขาวเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐสองสมัยช่วงปี ค.ศ. 1981–1989
เรแกน เข้ารับตำแหน่งในวัย 69 ปี ซึ่งถือว่ามีอายุสูงที่สุดเมื่อเทียบกับประธานาธิบดีในอดีตก่อนหน้า เรแกนถูกค่อนขอดเสมอในเรื่องความจำว่าไม่ชอบอ่านรายงานยาว ๆ และบริหารประเทศด้วยแผ่นโน๊ตย่อเล็ก ๆ ในกระเป๋า และมุขตลกที่งัดออกมาใช้แก้ไขสถานการณ์ได้เสมอ ๆ
วันหนึ่งเรแกน รับเชิญให้กล่าวปาฐกถา หัวข้อ “เหตุผล  10  ประการทำไมผมจึงจำได้ดี” ท่านเริ่ม  “ประการแรก  ถ้าจะให้จำดี ๆ ต้องจด”  และท่านก็บรรยายต่อไป  “สำหรับประการสอง”  ท่านเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเหลียวไปถามคนข้างๆว่า  “เมื่อตระกี้นี้ข้อแรกผมพูดว่าอะไรนะ”
แม้กระนั้นในยุคของเรแกน  เศรษฐกิจของสหรัฐก็สามารถก้าวจากภาวะถดถอยและกลับมาเติบโตมั่นคงได้อีกครั้ง  แต่หลังจากที่พ้นจากตำแหน่งแล้ว  ท่านอดีตประธานาธิบดีโรนัล  เรแกนได้ป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์  ความจำเสื่อมลืมมโหฬาร

ด้วยความเคารพ ในบั้นปลายชีวิต ขอพระเจ้าเมตตาเราอย่าเป็นคนหลงลืม และอย่ามุ่งแต่งานจนสุขภาพร่างกายอันเป็นวิหารของพระเจ้าทรุดโทรม

- ข้อพระคัมภีร์    โรม  8 : 28


"เรารู้ว่า พระเจ้าทรงร่วมมือกับคนทั้งหลายที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือ คนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์ "

วัยทองของชีวิต

ข้อมูลจากหนังสือ 108-1009


วัยใดเป็นวัยที่ดีที่สุด?
คำถามนี้ตั้งขึ้นป้อนให้กับคนประมาณสิบคนในรายการโทรทัศน์แห่งหนึ่ง เด็กหญิงเล็ก ๆ คนหนึ่งตอบว่า  “วัยสองเดือนค่ะ  เพราะจะได้มีคนอุ้มไปอุ้มมา  แล้วก็ได้ความรักกับความเอาใจใส่เยอะแยะเลย”
เด็กอีกคนหนึ่งตอบว่า  “วัยสามขวบ  เพราะยังไม่ต้องไปโรงเรียน  และยังได้เล่นเกือบตลอดเวลาด้วย”
วัยรุ่นคนหนึ่งตอบว่า  “วันสิบแปดปีเพราะจบมัธยมปลายแล้ว  ขับรถไปไหนก็ได้ตามใจ” 
ชายคนหนึ่งตอบว่า  “วัยยี่สิบห้าปีครับ  เพราะยังมีกำลังเยอะอยู่  สามารถเดินขึ้นภูเขาไกลๆได้”
บางคนคิดว่าอายุ  40  ปี  เป็นวัยที่ดีที่สุด  เพราะเป็นช่วงสูงสุดในชีวิตและแข็งแรงที่สุด  สุภาพสตรีคนหนึ่งตอบว่าวัย  45  ปี  เพราะเป็นวัยที่พ้นจากความรับผิดชอบในการเลี้ยงลูกๆ  และสามารถสนุกสนานกับชีวิตและหลานๆได้
ชายคนหนึ่งตอบว่าวัย  65  ปี  เพราะหลังจากนั้นจะสนุกกับการเกษียณ

แต่คนสุดท้ายเป็นสุภาพสตรีอายุมากที่สุดตอบว่า “ทุกวัยเป็นวัยที่ดี จงสนุกสนานกับวัยของคุณในตอนนี้เถิด”

- ข้อพระคัมภีร์    ปัญญาจารย์  11 : 9


"โอ เยาวชน จงเปรมปรีดิ์ในปฐมวัยของเจ้า และให้จิตใจของเจ้ากระทำตัวเจ้าให้ร่าเริงในปีเดือนแห่งปฐมวัยของเจ้า เจ้าจงดำเนินในทางแห่งใจของเจ้าและตามสายตาของเจ้า แต่จงทราบว่าเนื่องด้วยกิจการงานทั้งปวงเหล่านี้พระเจ้าจะทรงนำเจ้าเข้ามาถึงการพิพากษา"

ถึงจะไม่สวย เสียงไม่ไพเราะ

ข้อมูลจากหนังสือ 108-1009


หญิงทำความสะอาดวัย  35  ปี  ไปชมภาพยนตร์  แล้วถอนหายใจว่า
“ถ้าฉันสวยแบบนั้นก็จะดีหรอก”
และเมื่อเธอไปฟังนักร้องก็ครางออกมาว่า
“ถ้าฉันเสียงเพราะอย่างนั้นก็ดีหรอก”
แล้ววันหนึ่งก็มีคนให้หนังสือแก่เธอเล่มหนึ่งชื่อ พลังแห่งความเชื่อ (The Magic of Believing)  เธออ่านแล้วก็เลิกเปรียบเทียบตัวเองกับดารานักร้อง เธอหยุดร้องไห้ในสิ่งที่เธอไม่มีและเริ่มจดจ่อกับสิ่งที่เธอมี
จากนั้นเธอเริ่มสำรวจว่าตัวเองมีความสามารถอะไรบ้าง แล้วก็จำได้ว่าสมัยเรียนมัธยมปลาย เธอมีชื่อเสียงว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่ตลกที่สุดในโรงเรียน เธอเริ่มทำให้สิ่งที่เธอมีอยู่นั้นเป็นประโยชน์ขึ้นมา สองสามปีก่อน  ฟิลลิส  ดิลเลอร์  ทำเงินกว่า  40  ล้านบาทในปีเดียว ดิลเลอร์ไม่สวยและเสียงแหบ  แต่เธอทำให้คนหัวเราะได้

เราก็เช่นกัน  พระเจ้าได้ทรงประทานของประทานแห่งพระจิตเจ้าให้กับทุกคนเพื่อปรนนิบัติรับใช้พระองค์ และแต่ละคนก็มีแตกต่างกัน ให้เราแสวงหาของประทานที่พระองค์ทรงประทานให้ เมื่อเราค้นพบและได้ใช้ของประทานนั้นด้วยความรักเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อพระราชกิจของพระเจ้าแล้ว เราก็พบความสุขและความพึงพอใจในตนเองอย่างแท้จริง

- ข้อพระคัมภีร์    1  โครินธ์  14 : 1


"จงมุ่งหาความรัก และจงปรารถนาของประทานฝ่ายจิตวิญญาณ"

วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2554

รูปลักษณ์ภายนอก

ข้อมูลจากหนังสือ 108-1009


ชายหญิงคู่หนึ่งเขียนจดหมายติดต่อข้ามประเทศถึงกันผ่านทางอินเตอร์เน็ตจนรักกันในที่สุด  ต่างฝ่ายต่างต้องการพบหน้ากันเหลือเกิน  ทั้งคู่ตกลงที่จะบินไปชิคาโกและพบกันที่สนามบิน  เนื่องจากไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน  ทั้งสองจึงช่วยกันคิดวิธีที่จะทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร  ฝ่ายหญิงจะผูกผ้าพันคอสีเขียว  สวมหมวกสีเขียวและเสียบดอกคาร์เนชันสีเขียวที่เสื้อโค้ท  ในเมื่อเครื่องบินของเธอจะถึงก่อนฝ่ายชายเล็กน้อย  เธอจะไปรอรับเขาที่ประตูเทียบจอดเครื่องบิน
เมื่อฝ่ายชายออกจากเครื่องบิน  เขาก็รีบมองหาฝ่ายหญิงทันที  ในเวลาไม่กี่นาทีเขาก็สังเกตเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนแยกออกมาจากกลุ่มคน  เธอผูกผ้าพันคอสีเขียวสวมหมวกสีเขียวและเสียบดอกคาร์เนชันสีเขียวที่เสื้อโค้ท  หัวใจของเขาหล่นวู้บ  เธอเป็นผู้หญิงหน้าตาธรรมดามากที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาด้วยซ้ำ  แต่เขารู้สึกถึงข้อผูกมัดจึงเดินไปที่ผู้หญิงคนนั้น  แตะไหล่เธอส่งยิ้มให้แล้วจึงแนะนำตัว
ผู้หญิงคนนั้นแผดเสียงโวยวายออกมาอย่างไม่รั้งรอว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่หลังเสาให้เงินเธอ  20  เหรียญ  เพื่อให้ใส่เสื้อผ้าพวกนี้  ชายหนุ่มจึงหันไปมองยังหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างเสา  เขาก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่สวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา  ฝ่ายชายจึงเดินเข้าไปหาฝ่ายหญิง  และทั้งสองก็แนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการ
เมื่อสนทนากันต่อมา  ฝ่ายหญิงจึงอธิบายเรื่องแผนการอันแยบยลของเธอว่า
“ตลอดชีวิตของฉัน  พวกผู้ชายและเพื่อนๆชอบเข้ามาหาฉันเพราะรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงามของฉันค่ะ  นี่คือเหตุผลที่ฉันเริ่มความสัมพันธ์ทางอินเตอร์เน็ต  ฉันต้องการจะพบใครสักคนที่จะรักฉัน  ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก  แต่เพราะสิ่งที่ฉันมีข้างในค่ะ”

...พระเจ้าทรงทอดพระเนตรไม่เหมือนกับที่มนุษย์ดู มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก แต่พระเจ้าทรงทอดพระเนตรจิตใจ


- ข้อพระคัมภีร์    1  ซามูเอล  16 : 7


แต่พระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า "อย่ามองดูที่รูปร่างหน้าตาหรือที่ความสูงแห่งร่างกายของเขา ด้วยเราไม่ยอมรับเขา เพราะพระเจ้าทอดพระเนตรไม่เหมือนกับที่มนุษย์ดู ด้วยว่ามนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก แต่พระเจ้าทรงทอดพระเนตรจิตใจ"

ไม่มีรักใดยิ่งใหญ่กว่า

ข้อมูลจากหนังสือ 108-1009


เจมส์  แฮร์ริสัน  เป็นสมาชิกคนหนึ่งของคณะนักร้องประสานเสียงแห่งมหาวิทยาลัยอัวซิต้าแบ๊บติสต์
วันหนึ่งเขากำลังเดินทางจากยุโรปกลับบ้านพร้อมเพื่อนนักร้อง  ขณะที่เครื่องบินกำลังจอดในเมืองลิตเติ้ลร็อค  รัฐอาร์คันซอร์นั้น  เกิดฝนตกหนักและลมกรรโชกแรงจนเครื่องบินลื่นไถลออกจากลานบินและชนเข้ากับแผงไฟ  ทำให้ลำตัวของเครื่องบินฉีกขาด  ขณะที่ผู้คนกำลังอลหม่านและไฟได้ลุกขึ้นภายในเครื่องบินที่พังยับเยินนั้น  แฮร์ริสันเริ่มช่วยเหลือผู้อื่น  เขาดึงผู้โดยสารออกมาไว้ยังที่ปลอดภัยคนแล้วคนเล่าและวิ่งกลับไปที่เครื่องบินเพื่อช่วยคนที่เหลืออีก  ครั้งสุดท้ายที่เขาวิ่งกลับไปยังซากเครื่องบินที่ถูกเผาไหม้นั้นเขาต้านทานไฟไม่ไหวและเสียชีวิตลง  ในงานศพของเขานั้น  หัวหน้าคณะนักร้องประสานเสียงได้อ่านพระวรสารของนักบุญยอห์น 15:13 ซึ่งกล่าวว่า
“ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้  คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน”


พระเยซูกำลังตรัสอยู่จริงๆถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์แทนเรา  และหัวหน้าคณะนักร้องประสานเสียงได้ชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของการเสียสละอันสูงสุดนี้
เราอาจไม่ถูกเรียกร้องให้เสียสละแบบเดียวกับที่เจมส์ได้ทำมาแล้วในโศกนาฏกรรมอันน่าสะพรึงกลัว  แต่เรามีโอกาสที่จะสละความสุขส่วนตัวเพื่อแสดงความรักต่อเพื่อนบ้านของเราได้ทุกวัน  ที่ผ่านมาเราได้สำแดงความรักมากแค่ไหน?

- ข้อพระคัมภีร์    ยอห์น 15:13


“ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้  คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน”

ภารกิจของพระเจ้า

ข้ิอมูลจากหนังสือ 108-1009


แดนนี่  ซัตตัน  อายุ  8  ขวบ  เขียนเรียงความส่งครูสอนศาสนาประจำชั้นประถม  3  ตามที่คุณครูมอบหมายให้เขียนอธิบายเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า  แดนนี่เขียนว่า
งานหลักของพระเจ้าคือ  การสร้างคนเอาไว้ทดแทนพวกที่ตายๆไป  จะได้มีคนคอยช่วยกันดูแลข้าวของต่างๆในโลกนี้  ท่านไม่ได้สร้างผู้ใหญ่นะ  แต่สร้างเด็กก่อน  เพราะพวกเราตัวเล็ก  สร้างง่ายกว่า  และท่านก็ไม่ต้องสอนให้เด็กอย่างพวกเราพูดหรือหัดเดิน  แต่ท่านสั่งให้พ่อแม่ของเด็กๆแบ่งกันสอน  เพื่อประหยัดเวลาของท่าน  ผมว่าเป็นวิธีที่ดี
งานหลักอีกเรื่องหนึ่งของท่านคือ  คอยฟังเสียงอธิษฐาน  บางคนก็อธิษฐานต่อท่านบ่อยๆ  ไม่เพียงแต่อธิษฐานตอนเข้านอนเท่านั้น  เช่น คุณปู่คุณย่าของเราท่านอธิษฐานทุกครั้งก่อนกินอาหาร  ทำให้พระเจ้าท่านไม่มีเวลาฟังวิทยุหรือดูทีวี  เพราะได้ยินแต่คำอธิษฐานของทุกคน  ในหูท่านคงแซดไปหมด  เว้นแต่ท่านจะมีวิธีเบาเสียง  ท่านทรงทราบและทรงเห็นทุกอย่าง  ท่านเลยยุ่งมาก  ดังนั้นพวกเราอย่าไปทำให้ท่านเสียเวลาด้วยเรื่องไม่สำคัญเลย  แต่ให้เราไปขอพ่อแม่ดีกว่า  แต่ก็นั่นแหละพ่อกับแม่ก็คงบอกว่า
“ขออีกแล้ว  เคยขอแล้วนี่นา”  แล้วเราก็ไม่ได้สิ่งที่ขออยู่ดี


นั่นคือความเข้าใจผิดของเด็กคนหนึ่ง ที่คิดว่าพระเจ้าต้องตอบคำอธิษฐานของคนจำนวนมากแล้วคงไม่มีเวลาฟังเราหรอก นั่นเป็นการหลอกลวงของมาร

- ข้อพระคัมภีร์    มัทธิว  7:7-8


"จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ จงแสวงหาเถิด แล้วท่านจะพบ จงเคาะเถิด แล้วเขาจะเปิดประตูรับท่าน เพราะว่าทุกคนที่ขอย่อมได้รับ คนที่แสวงหาย่อมจะพบ คนที่เคาะประตูย่อมจะมีผู้เปิดให้"

พระประสงค์ของการทรงเลือกสรร

ข้อมูลจากหนังสือ 108-1009


มีมนุษย์ถ้ำพวกหนึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำมืดที่มีความหนาวเย็นและมีความยากลำบากมาก  แต่เพราะพวกเขาได้อาศัยอยู่ที่นั่นมาตลอดชีวิตจึงไม่รู้จักแสงสว่างและความอบอุ่นว่าคืออะไร
วันหนึ่งมีคนแปลกหน้าเข้ามาในถ้ำ  และหลังจากนำฟืนมากองรวมกันแล้วเขาก็จุดไฟมนุษย์ถ้ำเหล่านั้นส่งเสียงร้องว่า  “ดับไฟนั่นเสีย!  ดับไฟ!  ไฟนั้นทำให้เราเจ็บ!
พวกเขาไม่เคยเห็นไฟมาก่อนเลยชินกับความมืดมาตลอดจนแสงสว่างทำให้เขาแสบตา  คนแปลกหน้าจึงพูดกับมนุษย์ถ้ำว่า  “มาที่กองไฟนี่สิ  ที่นี่อุ่นดีนะ”
มนุษย์ถ้ำเหล่านั้นปฏิเสธ  แต่ในที่สุดมนุษย์ถ้ำคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาใกล้กองไฟแล้วเธอก็อุทานเสียงดังว่า  “โอ้  ดีมากเลยและอุ่นด้วย”
แล้วเธอก็หันไปเชิญชวนเพื่อนๆมนุษย์ถ้ำให้เข้ามาที่กองไฟ  แต่พวกเขาปฏิเสธ
คนแปลกหน้าใจดีถามเธอว่า  “คุณอยากจะกลับไปอยู่ที่มืดอีกมั้ย”
เธอตอบทันทีว่า  “ไม่ค่ะ  ฉันทนไม่ได้อีกแล้ว  ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าไฟทำให้ฉันอบอุ่น
และพบความสว่าง  แต่ฉันก็อดคิดถึงพี่น้องของฉันที่ยังคงอาศัยอยู่ในความมืดและที่หนาวเย็นอย่างนั้นไม่ได้  ฉันอยากกลับไปหาพวกเขาและขอให้เขาเข้ามาที่นี่”
คนแปลกหน้าจึงพูดกับเธอว่า  “คุณไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น  แต่คุณสามารถถือไฟนี้และนำไปให้พี่น้องของคุณได้”
ดังนั้นเธอจึงถือท่อนฟืนที่ติดไฟอยู่และก้าวเดินออกไป  เปลวไฟของเธอได้ไล่ความมืดในขณะที่เธอเดินไป

ขณะนี้เราได้รู้จักพระกรุณาและความดีงามของพระเจ้าแล้ว  และเราก็รู้ด้วยว่าจะเป็นอย่างไรหากมีชีวิตอยู่โดยไม่รู้ถึงพระเมตตากรุณาและความดีงามของพระองค์  เราจะชื่นชมยินดีในแสงสว่างแห่งพระสิริและความดีงามของพระองค์  แต่ปล่อยให้คนอื่นๆอับเฉาในความมืดฝ่ายวิญญาณอย่างนั้นหรือ?
เราจะอธิษฐานวิงวอนเผื่อเขาเหล่านั้นโดยเป็นตัวแทนของเขา  แล้วไปหาเขาในฐานะที่เป็นตัวแทนของพระเจ้าหรือไม่?

- ข้อพระคัมภีร์    1  เปโตร  2 : 9


"แต่ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระองค์โดยเฉพาะ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้สำแดงพระบารมีของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลายให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์"