ข้อมูลจากหนังสือ 108-1009
บทความนี้เป็นบทปรัชญาที่มีคุณค่าต่อทุก ๆ คน เป็นเรื่องราวที่กล่าวถึงเพื่อนสองคนที่เดินทางอยู่กลางทะเลทราย ณ ช่วงสำคัญของการเดินทางทั้งสองเกิดข้อโต้แย้งกัน หนึ่งในสองคนนั้นได้ตบหน้าอีกฝ่ายหนึ่ง ชายผู้ที่ถูกตบหน้าเกิดความเจ็บปวดทั้งกายใจ แต่เขาไม่ได้กล่าวคำพูดใด ๆ เลยเพียงแต่เขียนระบายไว้บนพื้นทรายว่า “วันนี้ ผมโดนเพื่อนรักของผมตบหน้า” แล้วเขาทั้งสองก็เดินทางต่อไปจนกระทั่งพบสถานที่พักพิง โอเอซิสกลางทะเลทราย ทั้งสองตกลงจะอาบน้ำชำระร่างกาย ชายผู้ที่ถูกเพื่อนตบหน้าเกิดเหตุจมน้ำ และชายผู้ตบหน้าเขาก็เป็นผู้ช่วยชีวิตเขาไว้ เมื่อเขาผ่านพ้นช่วงนาทีวิกฤตนั้น เขาได้เขียนระบายไว้บนก้อนหินว่า “วันนี้ เพื่อนรักของผมได้ช่วยชีวิตผมไว้” ชายผู้ที่ตบหน้าเพื่อนและช่วยชีวิตเพื่อนจึงเอ่ยถาม “ทำไม เมื่อตอนที่ผมทำร้ายคุณ คุณเขียนระบายลงบนพื้นทราย แล้วตอนที่ผมช่วยเหลือคุณ คุณกลับเขียนระบายบนก้อนหิน” ชายผู้นั้นตอบด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อเพื่อนทำร้ายเรา เราควรระบายความเจ็บปวดนั้นลงบนพื้นทราย ซึ่งเป็น “การให้อภัย” ที่จะค่อย ๆ ลบเลือนความเจ็บปวดนั้นให้สูญสิ้นไป แต่เมื่อมีสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต เราควรจะ “จารึก” สิ่งเหล่านั้นไว้บนแผ่นหินของหัวใจ ที่ซึ่งไม่มีวันจะลบเลือน
เพื่อนสนิทใกล้ชิดเป็นเสมือนลิ้นกับฟัน อาจมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของผู้อื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ มีความหวังอยู่เสมอและทนต่อทุกอย่าง (1คร.13:7) จงลืมในสิ่งที่ควรลืมด้วยการให้อภัยและจงจำในสิ่งที่ควรจำด้วยความประทับใจตลอดไป แล้วชีวิตจะสดใส
- ข้อพระคัมภีร์ 1 คร. 13:7
"(ความรัก)ไม่แคะไค้คุ้ยเขี่ยความผิดของเขา และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และเพียรทนเอาทุกอย่าง"